วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558



การจัดอันดับในภาพยนตร์โรแมนติกที่สุดในประวัติศาสตร์ของรุ่นโรงภาพยนตร์ไอเอ็ม

• CINEMA รัก ROMANCE ••ฟิล์ม
เว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกในภาพยนตร์ไอเอ็มนำเสนอรายชื่อของภาพยนตร์โรแมนติกที่สุดในประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์ ในสิบอันดับแรกรวมเทปของความหลากหลายของเรื่องราวความรัก ดี Bigpikcha ข้อเสนอที่จะล้มตัวลงนอนสบายโอบกอดและเตรียมผ้าเช็ดหน้า
(รวม 10 ภาพ)


สถานที่ที่ 10 - "ฉาวโฉ่" (1946)

สถานที่ 9 - "Perks of Being ชวน" (2012)


8 สถานที่ - "แอนนี่ฮอลล์" (1977


สถานที่ 7 - "หายไปกับสายลม" (1939)


สถานที่ 6 - "พาร์ทเม้นท์" (1960)


สถานที่ 5 - "ร้องเพลงในสายฝน" (1952)


ที่ 4 - "นิรันดร์ซันไชน์ของมายด์ Spotless" (2004)


ที่ 3 - "พิศวาส" (1958)


สถานที่ 2 - "Amelie" (2001)








1 สถานที่ - "คาซาบลังกา" (1942



วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

ไอ้ด่าง-บางมุด..ตำนานของจระเข้ไทยที่ดุร้ายที่สุด!!


"ไอ้ด่างคลองบางมุด" รายละเอียดเป็นเช่นไร? เพื่อนๆ ลองติดตามอ่านกันดูนะคะ....หากย้อนกลับไป ๔๐ ปีที่แล้วสมัยที่เมืองไทยยังใช้เส้นทางน้ำเป็นทางสายหลัก และบางแห่งก็มีจระเข้ชุกชุมตามแหล่งน้ำธรรมชาติ ชาวบ้านทั่วไปมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับน้ำ แต่จู่ๆกลับเกิดข่าวสะเทือนขวัญพาดหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ โดยเริ่มออกอาละวาดตั้งแต่ต้นเดือนกันยา คลองบางมุด บ้านหนองไก่ปิ้ง ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร ว่ากันว่า จระเข้ยักษ์มีขนาดความยาวนับแต่หัวจรดท้ายคะเนด้วยสายตาราว ๒ วาเศษหรือประมาณ ๔ เมตรกว่าทีเดียว เฉพาะส่วนหัวก็ยาวร่วม ๒ ศอกเศษหรือเกือบหนึ่งเมตรแล้วส่วนลำตัวของมันมีขนาดใหญ่กว่าถังน้ำมันขนาด ๒๐๐ ลิตรเสียอีก จระเข้ยักษ์ที่หลังสวนเป็นพันธุ์ "ไอ้เคี่ยม" หรือ "พันธุ์ทองหลาง" อยู่ได้ทั้งในน้ำกร่อยและในน้ำเค็มส่วนเท้า เหมือนตีนเป็ดแผ่เป็นพังผืดเต็มระหว่างเล็บของมันเพื่อให้ว่ายน้ำได้รวดเร็วออกไปทะเล ได้ในเวลาไม่นาน จระเข้น้ำเค็มหรือ"ไอ้เคี่ยม"เป็นพันธุ์ที่ดุร้ายมากชอบกินเนื้อคนหากได้กินคนแล้วก็จะออกหากินอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกับเสือกินคน

และจาก คำบอกเล่าของชาวบ้าน จระเข้ตัวนี้มีขนาดใหญ่มาก และดุร้ายถึงขั้นไล่กัดผู้คนที่เดินริมตลิ่ง และไล่กัดเรือที่สัญจรไปมา จนชาวบ้านไม่กล้าพายเรือหรือเดินเลาะริมตลิ่ง ต่อมาในกลางเดือนกันยายน เย็นวันหนึ่ง นายอุดม ชาวบ้าน ต.นาขา ลงอาบน้ำในคลอง ถูกจระเข้ยักษ์คาบไปกินต่อหน้าต่อตา ต่อหน้าชาวบ้านนับสิบ รุ่งเช้าพบศพนายอุดมลอยขึ้นมา ปรากฏว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้อง ๒ - ๓ วันต่อมา นายอิน ชาวเขมรบ้านเดิมอยู่ จ.ตราด มาตั้งรกรากที่คลองบางมุด ได้นำเรือเล็กไปตัดจากเพื่อนำมามุงหลังคาบ้าน ขณะยืนตัดกิ่งจากอยู่ในเรือ จระเข้ยักษ์ ได้พุ่งตัวขึ้นมาบนเรือคาบขานายอินตกลงไปในน้ำ นายอินดิ้นและเกาะแคมเรือร้องให้ภรรยาซึ่งอยู่บนฝั่งช่วย เธอพยายามกระพุ่มน้ำและส่งเสียงไล่ แต่ไม่เป็นผล จระเข้ยักษ์ได้คาบนายอินจมหายลงไปใต้ท้องน้ำต่อหน้าต่อตา รุ่งขึ้นศพนายอินลอยขึ้นมา ก็พบว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้องเช่นเดียวกับนายอุดม ข่าว จระเข้ยักษ์ อาละวาดกินคนไปแล้ว ๒ ศพแพร่กระจายไปทั่ว ชุมพร ส.ต.อ.บุญโชติ และครูสมพงษ์ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายอินผู้ตาย ถึงกับลาราชการเพื่อออกล่าจระเข้ล้างแค้นแทนเพื่อนโดยร่วมกับนายแดง เจ้าของโรงสีปืนและดินระเบิด โดยใช้เรือ ๒ ลำ กลางเดือนตุลาคณะล่าจระเข้ยังออกควานหาตัวแต่ไม่มีวี่แวว กระทั่งบ่ายจึงใช้ระเบิดกระป๋องนมจุดโยนลงไปในน้ำถึง ๑๔ กระป๋อง ระเบิดติดต่อกันจนถึงกระป๋องสุดท้ายจระเข้ยักษ์ก็โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน พุ่งเข้าใส่เรือลำหนึ่ง พร้อมกับอ้าปากกว้างงับแคมเรือจนขาดทะลุ นายแดงเจ้าของโรงสีซึ่งทำหน้าที่คัดท้ายเรือเสียหลักตกน้ำ จระเข้ยักษ์ว่ายรี่เข้าไปจะคาบนายแดง ตำรวจชุดติดตามล่าจึงพากันระดมยิงใส่ลำตัวจระเข้ยักษ์ด้วยปืนเล็กยาวแบบ .๘๓ และปืนพก จระเข้ยักษ์ จึงผละจากนายแดงจมหายไปทันที นายแดงจึงรอดหวุดหวิด หลังจากถูกคณะไล่ล่าใช้ระเปิดกระป๋องนมและระดมยิงจนจระเข้ยักษ์อาละวาดฟาด หัวฟาดหาง ทำให้ชาวบ้านเห็นชัดว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้มีสีดำทั้งส่วนลำตัวและส่วนหัว ยกเว้นที่คอเท่านั้นที่มีสีขาวคาดอยู่รอบลำคอ จึงเป็นที่มาของชื่อ "ไอ้ด่าง"
จากนั้น จระเข้ยักษ์ เงียบหายไประยะหนึ่งกระทั่งวันที่ ๒๕ ตุลาคม สายตรวจ สภอ.หลังสวน ๒ นายออกตรวจพื้นที่โดยใช้เรือหางยาวแล่นไปตามคลองบางมุด ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นและฝนตกพรำ ฉับพลันน้ำในคลองก็ปั่นป่วนและเกิดกระแสคลื่นลูกใหญ่ ด้วยความสงสัยจึงเหลียวดูรอบกาย และต้องตัวเย็นวาบเมื่อพบกับตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาอย่างอาฆาตมาดร้าย เห็นเข้าก็รู้ว่ามันคือจระเข้ และมันกำลังว่ายตามเรืออยู่ ด้วยความตกใจทั้งสองจึงรีบเร่งเครื่องหนีทันทีโดยไม่สนใจว่าจระเข้ยักษ์จะ จมหายไปตอนไหน จากการที่ จระเข้ยักษ์ อาละวาดไล่กัดกินคนจนประชาชนชาว คลองบางมุด นับพันครอบครัวต่างพากันเดือดร้อนจึงมีคำสั่งให้ตำรวจพลร่มหน่วย "เสือดำ" ๒ นายแห่งค่ายนเรศวร หัวหินเข้าร่วมกับราษฎรคลองบางมุดทำการออกล่าจระเข้ยักษ์ โดยสมทบกับคณะล่าของ ส.ต.อ.บุญโชติ โดยตีวงตั้งแต่ปากอ่าวตะโกจุดหนึ่ง กับจากคลองบางมุดเข้าหากัน ปลายเดือนตุลาคม นักล่าทั้ง ๒ คณะได้นำเรือชุดละลำหายออกจากปลายคลองบางมุดตั้งแต่เช้าเพื่อค้นหา จระเข้ยักษ์ โดยเรือของ "เสือดำ" พายล่วงหน้าไปก่อน ๑ คุ้งน้ำ จากนั้นนักล่าชุดส.ต.อ.บุญโชติจึงออกติดตามไป การค้นหายังดำเนินต่อไปกระทั่งบ่ายก็ยังไม่พบ จนเวลาเย็น ขณะที่เรือของตำรวจเสือดำ ผ่านถึงหมู่บ้านบางหมี กับบ้านทับซัน จนลับคุ้งน้ำไปแล้ว ไอ้ด่างก็ลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ กลางคลองบางมุดจนเห็นชัดถนัดตา พอดีกับเรือ ส.ต.อ.บุญโชติและครูสมพงษ์ตามมา โดยมีนายหยึดเป็นคนแจวท้าย พอเห็น ไอ้ด่าง เท่านั้นครูสมพงษ์เร่งให้นายหยึดรีบแจวเรือเข้าไปเพื่อได้ระยะยิงหวังผลแต่ นายหยึดกลัวจนตัวสั่นค้างอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง ไอ้ด่าง จมลงไป พลาดโอกาสทองอย่างน่าเสียดาย รุ่งขึ้นนายสุคนธ์ บ้านอยู่ปากอ่าวตะโก พายเรือขนานคู่กับเพื่อนบ้านซึ่งพายมาคนละลำ ทั้งสองคุยกันและหัวเราะเสียงดังเพื่อความเพลิดเพลิน ทันใดนั้น ไอ้ด่างก็โผล่ขึ้นมาในช่องกลางระหว่างเรือทั้งสองลำ โดยให้เห็นแค่ส่วนหัวและกลางหลัง คนขับเรือทั้งสองจึงรีบพายจ้ำหนีขึ้นฝั่งอย่างไม่คิดชีวิต ข่าวไอ้ด่างลอยตัวครั้งที่สองเช้าวันนั้น ครูสมพงษ์รู้เรื่องเข้าจึงขอแรงชาวบ้านนั่งห้างดักยิง ไอ้ด่าง โดยครูสมพงษ์กุมปืนไรเฟิล .๓๗๕ นั่งห้างอยู่ที่ต้นโกงกาง แล้วให้คนนำสุนัขไปผูกแพล่อ แต่ก็ไม่มีวี่แววไอ้ด่าง พร้อมๆกับนักล่าทั้ง ๒ ชุดที่นำเรือออกล่าถึง ๔๘ ชั่วโมง ปรากฏมีนักล่าชุดที่ ๓ เป็นแขกชื่อนายหะหมัด อายุ ๖๕ ปี ผมขาวโพลนทั้งศรีษะ มาจาก ต. เขาสง ท่าชนะ โดยใช้วิธีบุกเดี่ยวลงเรือเล็กออกล่าด้วยตนเองโดยใช้หอกเล่มเดียวซึ่งอ้าง ว่าเคยฆ่าจระเข้มาแล้ว ๑๕ ตัวด้วยหอกเล่มนี้ ขณะนี้นายหะหมัดยังคงลงเรือเล็กออกควานหาไอ้ด่างในคลองบางมุดทุกวัน เนื่องมาจากการติดตามค้นหาล่า จระเข้ยักษ์ ของตำรวจพลร่มหน่วย "เสือดำ" คณะส.ต.อ.บุญโชติอภิสนธิสมบัติ กับบังหะหมัด ซึ่งนักล่า ๓ คณะออกติดตามค้นหา "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ - ๓๑ ตุลาคม กับวันที่ ๑ กันยายน ต้องประสบความล้มเหลว เมื่อเวลาผ่านไปชื่อเสียงของ"ไอ้ด่าง"ก็เลื่องลือไปทั่วทั้งประเทศ ความโด่งดังของมันถึงขนาดมีคณะถ่ายทำภาพยนต์ไล่ตามพรานจระเข้เพื่อถ่ายทำเป็นภาพยนตร์สารคดีไปทุกระยะเตรียมส่งฉายทั่วโลก โทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหมที่ปัจจุบันเป็นช่อง ๙ อสมท. ก็ทำสารคดี " สองฟากทางรถไฟ " แพร่ภาพเรื่องของ "ไอ้ด่าง"ออกฉายไปทั่วประเทศ และจากความล้มเหลวในการล่า "ไอ้ด่าง" หลายสิบครั้งจนครั้งล่าสุดความมุ่งมั่นในการล่าของ ๓ คณะติดตาม จระเข้ยักษ์ ได้เรียกขวัญชาวบ้านที่หวาดกลัวกลับคืนมาและร่วมมือกันวางแผนประกาศขีดเส้น ตายไอ้ด่าง ในการนี้กำนันตำบลปากตะโก กำนันตำบลบางน้ำขวาง และผู้ใหญ่บ้านคลองบางมุด ได้ร่วมมือประสานงานกับชาวบ้าน ๒๐๐ คน และระดมเรือที่จะใช้เป็นพาหนะปราบจระเข้ประมาณ ๑๐๐ ลำเศษ โดยได้ทำพิธีบวงสรวงกรมหลวงชุมพรขอไอ้ด่าง โดยมีจุดนัดพบคือหน้าโรงถ่านของนายจรัญ ปรกติ คหบดีใหญ่แห่งปากอ่าวตะโก อ.สวีโดยมีแผนการล่คือให้ผูกเรือเล็กเป็นแพ แพละ ๕-๖ ลำแยกย้ายไปเริ่มต้นจากในบาง ( คลองซอย ) ที่เป็นต้นน้ำ แล้วใช้ไม้ กระทุ้งลงไปถึงพื้นน้ำ ไล่ไปทุกระยะจนถึงคลองใหญ่ ในคลองใหญ่จะมีกองเรืออีกขบวนหนึ่งใช้ไม้กระทุ้งไล่มาจาก ๓ คลองคือ คลองบางมุด คลองน้ำขาว และคลองบางด้าน จากนั้นยังมีกองเรือขบวนหลังไล่ตามใช้ไม้กระทุ้งจระเข้ที่กบดานอยู่ ให้หนีมุ่งออกไปยังปากคลองตะโก ที่บริเวณปากคลองกว้าง ๒๐ วานั้น ได้ขึงอวนขนาดใหญ่ปิดกั้นขวางทั้งคลอง และก่อนจะถึงกำแพงอวน มีการวางเบ็ดราวขึงจากหน้าดินสลับเป็นชั้นขึ้นมาถึงผิวน้ำ
จระเข้ทุกตัวจะหนีการขับไล่ มารวมกันที่นี่และไม่มีทางรอดไปได้ ส่วนระยะทางจากปลายคลองถึงปากคลองตะโกที่เป็นเขตกวาดล้างมีความยาวประมาณ ๙ กิโลเมตร เรือทุกลำได้แยกย้ายออกกระทุ้งตั้งแต่ก้นคลองออกมาตามแผนการที่วางไว้ เรือที่ผูกเป็นแพได้ใช้ไม้กระทุ้งลงไปถึงก้นคลอง จนพลบค่ำไม่ปรากฏว่าพบจระเข้แม้แต่ตัวเดียว ทั้งๆที่คลองตะโกกับคลองบางมุดเป็นแหล่งที่มีจระเข้ชุกชุมมากที่สุด ทำให้แผนการกวาดล้างต้องล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ส่วนสาเหตุของการล้มเหลวน่าจะเกิดจากการออกกวาดล้างอย่างหนักก่อนหน้านี้ จากคณะล่าหลายกลุ่ม ประกอบกับช่วงนี้ระดับน้ำขึ้นสูง และน้ำเหนือไหลบ่าทำให้น้ำเชี่ยวกราก จระเข้น้อยใหญ่ถูกกวนจึงย้ายถิ่นหนีไปอยู่ที่อื่น จากเหตุดังกล่าวทำให้พักการออกล่าจระเข้ยักษ์ไว้ชั่วคราว จนกว่าน้ำจะลดสู่ระดับปกติ เพราะเชื่อว่าเมื่อระดับน้ำลดจระเข้จะหวนสู่ถิ่นเดิม แต่พรานใหญ่จาก อ.โคกโพธิ์ จ. ปัตตานี นำโดยนายประยูร คณาณุรักษ์ พร้อมกับคณะถ่ายภาพยนตร์ของไทย ที.วี ได้เดินทางไปบันทึกภาพ รวมทั้งบังหะหมัดผู้บุกเดี่ยวด้วย สภาพคลองบางมุดในสมัยนั้น สองข้างทางมีป่าโกงกางสลับด้วยป่าจากเป็นระยะ ตอนบนของคลองแคบ แต่น้ำลึกไม่ต่ำกว่า ๓ วา ( ๖ เมตร ) บางแห่งเช่นทางโค้ง จะมีวังน้ำลึกซึ่งมีจระเข้อาศัยอยู่เป็นแห่งๆ นายยวย ภู่ไทย ต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลและสงวนพันธุ์จระเข้ที่บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ เผยว่าสาเหตุที่การล่าในวันดี ? เดย์ล้มเหลวเพราะผู้ล่าไม่เข้าใจลักษณะนิสัยจระเข้ซึ่งจะขึ้นผึ่งแดดบน ฝั่งในเวลากลางวัน แต่คณะล่าควานหาตัวเฉพาะในน้ำ มิได้ครอบคลุมถึงบนฝั่งในป่าจาก ขณะเดียวกัน นายมง สุวรรณสินธ์ หรือชาวบ้านเรียกลุงมง ผู้เฒ่าวัย ๖๐ เศษ ซึ่งมีที่พักริมคลองจากกึ่งกลางจุดเกิดเหตุครั้งแรกและครั้งที่สอง เผยว่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อในการพิชิตจระเข้ยักษ์ตัวนี้ หลังจากการตามล่าล้มเหลวมาตลอด ลุงมงได้กล่าวอีกว่าสมัยก่อนบริเวณแถบคลองบางมุดอุดมไปด้วยจระเข้ แทบทุกปีต้องมีชาวบ้านตกเป็นเหยื่อ ต่อมามีพวกญวนจากสุราษฎร์ มาจับเอาไปแล่ขาย ทำให้จำนวนลดลง พรานใหญ่ผู้ลุกคลีกับจระเข้ที่หลังสวนตั้งแต่อายุ ๑๓ ท่ามกลางมรสุม และพายุดีเปรสชั่นในอ่าวไทยที่โหมทั้งฝนและลม ทำให้น้ำท่วมในเขตชุมพรและภาคใต้ขณะนี้ข่าวร้ายได้ เกิดขึ้นในคลองบางมุด อำเภอสวน ดินแดนจระเข้ยักษ์อีกครั้ง "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์ได้อาละวาดลอยขึ้นมากันกินคนอีกในคลองเขาปีบ เขตติดต่อระหว่างอำเภอหลังสวนกับอำเภอสวี เมื่อตอนเช้าวันที่ ๑๘ พฤศจิกายนเวลา ๘ น.เศษ จระเข้ยักษ์ได้ลอยตัวขึ้นมาในคลองเขาปีบแล้วคาบนายช้วน พิมาน ชาวบ้านในคลองเขาปีบดำหายไปในคลองเขาปีบ โดยชาวบ้านเพื้อเห็นเหตุการณ์ยืนยันว่าเป็นไอ้ด่างแน่นอน การอาละวาดครั้งใหม่ของ "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์ที่ย้ายแหล่งใหม่จากคลองบางมุดครั้งนี้ คาดว่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ได้หหลบหลีกการกวาดล้างครั้งใหญ่ของวันดี-เดย์ ตลอดวันที่ ๖ เดือนนี้รอดไปได้ แล้วเข้าไปอยู่ในคลองเขาปีบซึ่งเป็นคลองแยกไปจากคลองบางมุด และคลองตะโก โดยการกวาดล้างวันนั้นไปไม่ถึงคลองเขาปีบ ทำให้ "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์ได้แหล่งใหม่ในคลองเขาปีบอันสงบเงียบเป็นที่ซุ่มซ่อนกบดานอยู่ ตั้งแต่วันที่ ๖ เป็นต้นมา จากการเปิดเผยของชาวบ้านปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน มีจระเข้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งลอยตัวขึ้นกลางคลองและบางทีก็ขึ้นฝั่งบนตลิ่ง ท้ำให้คลองเขาปีบที่เคยสงเงียบเพราะเป็นคลองไม่สู้กว้างใหญ่นักต้องเป็นเขต อันตราย ยิ่งกว่านั้นจระเข้ใหญ่ตัวนี้ยังอาละวาดไล่หนุนกัดเรือพาย ที่ผ่านเข้าไปในคลองเขาปีบ และไล่งับพายจนชาวบ้านไม่กล้านำเรือผ่านคลองเขาปีบอีกเลย
ต่อมาวันที่ ๑๗ กระบือของชาวบ้านลงไปแช่ในคลองถูกจระเข้ยักษ์ตัวเดียวกันนี้ ใช้หางฟาดถูกตัวและกัดที่ขาหลังข้างซ้าย โดยจระเข้ยักษ์พยายามจะลากกระบือตัวนั้นลงไปในน้ำเสียงร้องของกระบือประกอบ กับการปักหลักดื้อของมันทำให้เจ้าของและชาวบ้านมาช่วยใช้ปืนระดมยิงลงไปใน น้ำสกัดไว้ จนจระเข้ยักษ์ต้องปล่อยเหยื่อตัวมหึมาไว้พร้อมกับดำน้ำหนีไปซ่อนในบริเวณ วังน้ำ ในตอนเช้าวันนั้น เวลาประมาณ ๔ น.เศษ นายช้วน พิมาน บ้านอยู่ริมคลองเขาปีบ ต.ทุ่งตะไคร้ บ้านหัวท่า ได้ออกจากบ้านไปตัดกล้วยมาเลี้ยงหมู และเพื่อไปซื้อเนื้อควายที่ถูกไอ้ด่างกัดเมื่อวันที่ ๑๗ มาทำอาหารด้วย ในขากลับนั้น นายช้วนแบกต้นกล้วยเดินข้ามคลองเขาปีบตรงบริเวณนั้นกว้างเพียง ๒ วาเท่านั้น อีกมือหนึ่งของนายช้วนหิ้วเนื้อควายมาด้วย ขณะที่นายช้วนซึ่งแบกต้นกล้วยเดินท่องน้ำที่กำลังขึ้นท่วมสะพานลึกถึงเข่า เดินมาถึงกลางคลองพอดี จระเข้ยักษ์ซึ่งซุ่มตัวอยู่ในร่องน้ำบ่าจากริมคลองก็พุ่งตัวราวกับลูกธนู เข้าใช้ปากอันกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยเขี้ยวอันน่าสะพรึงกลัวกัดเข้าตรงเข่านายช้วนแล้วลากลงใต้น้ำทันที นายช้วนได้ร้องขอความช่วยเหลือดังทั่วบริเวณ ๒ ฝากคลองทำให้ชาวบ้านและญาติพี่น้องออกมาช่วยเหลือ แต่ไอ้ด่างนำนายช้วนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปขัดไว้ใต้รากไม้ริมตลิ่งเสีย แล้วสักครู่หนึ่งไอ้ด่างจึงลอยตัวขึ้นมาอีก ทำให้ชาวบ้านออกติดตามจับความเคลื่อนไหวของมันได้ ทุกระยะจนกระทั่ง "ไอ้ด่าง" ดำน้ำลงไปกบดานอยู่ในแอ่งน้ำลึกถึง ๒ ช่วงตัวคนซึ่งเป็น "วัง" ของมัน ญาติของนายช้วนได้เดินทางเข้าตัวจังหวัดชุมพร โดยนำข่าวไปบอกกับ ส.อ.ห้วง พิมานกับ ส.อ.จำนง พิมานญาติของนายช้วนซึ่งเป็นทหารประจำค่ายทหารบกชุมพร พอได้รับข่าวร้ายเท่านั้น ส.อ.ห้วง พิมาน กับ ส.อ.จำนง พิมาน ได้รายงานผู้บังคับบัญชาขอลาและขออนุมัติติดตามล่าจระเข้ยักษ์โดยใช้อาวุธ ซึ่งผู้บังคับบัญชามีคำสั่งอนุญาต ในการออกเดินทางครั้งนี้นอกจาก ส.อ.ห้วง พิมาน กับ ส.อ. จำนง พิมานแล้ว ได้มีผู้ร่วมเดินทางไปปราบจระเข้ยักษ์อีก ๔ คน คืน ร.ท.ลิขิต จันทโรทัย ร.ท.มาโนช เขียนยาคำ ส.อ.ละออ นาคจิตติขณะที่คณะล่าจระเข้ไปถึงได้พบว่า ชาวบ้านประมาณ ๑๐๐ กว่าคน พร้อมด้วยอาวุธปืน และฉมวกกำลังค้นหาจระเข้ยักษ์กับศพนายช้วน ตีแนวขนานทั้ง ๒ ซึ่งในที่สุดได้ค้นพบศพนายช้วนอยู่ใต้รากไม้ริมตลิ่งถูกไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ ลากไปขัดไว้ และไม่มีทางที่จะดึงออกมาได้ ต้องให้นักประดาน้ำดำลงไปใช้เชือกผูกศพแล้วใช้คนกว่า ๒๐ คนดึงอยู่พักใหญ่จึงลากศพนายช้วนมาได้ ปรากฏว่าศพนายช้วนไม่มีส่วนใดเหลือเป็นชิ้นดีให้เห็นเลยเพราะถูกจระเข้กัด กินด้วยความหิวกระหายกับถูกรากไม้ครูดจนจำแทบไม่ได้ ทุกคนได้แต่สังเวชและอนาถใจไปตาม ๆ กัน และส.อ.ช่วน แปลงรอด โดยไปถึงเมื่อเวลา ๑๒ น.เศษ ฝั่งคลองเขาปีบอย่างชุลมุน

จากแหล่งที่พบศพของนายช้วนนั้นเอง คณะนักล่ากับชาวบ้านจึงรู้ว่า เป็นบริเวณแอ่งน้ำลึกหรือวังจระเข้เก่าที่ "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์ใช้เป็นที่หลบซ่อนและกบดานอยู่ในวัง พอรู้แหล่งซ่อนของจระเข้ยักษ์ คณะนักล่าแห่งค่ายทหารบกชุมพรได้ให้ชาวบ้านทุกคนหลบซุ้มอยู่บนตลิ่งแล้วใช้ ระเบิดซี .๓ หย่อนลงไปในบริเวณวังจระเข้ยักษ์เป็นนัดแรก เสียงระเบิดดังก้องสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับน้ำพุ่งเป็นลำขึ้นสูงเทียมยอดตาล กลางลำน้ำ พอสิ้นเสียงระเบิดและสงบลงแล้วไม่ปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งได้ลอยขึ้นมาเลย จากนั้นอีก ๑๐ นาที ส.อ.ห้วงได้ตัดสินใจทิ้งระเบิดซี.๓ นั้นที่ ๒ ตามลงไปในวังน้ำลึกนั้นอีก เสียงระเบิดครั้งที่ ๒ นี้เองทำให้ทุกคนเห็นพรายน้ำผุดขึ้นแล้ววิ่งพุ่งเป็นทางจากจุดระเบิดเหนือ วังไปตามลำคลองด้านเหนืออย่างรวดเร็ว นั่น! "ไอ้ด่าง" หนีไปแล้ว? เสียงคนร้องบอก ทำให้คนนับร้อยและคณะล่าจระเข้วิ่งไล่ตามทั้งสองฝั่งคลองไปอย่างกระชั้นชิด จนกระทั่งทุกคนเหนื่อยหอบ และได้พบว่าพรายน้ำผุดเป็นทางนั้นไปหยุดที่ริมตลิ่งที่มีน้ำลึกแค่เอว แต่ก่อนที่ใครจะทำอะไรต่อไป ส.อ.ห้วงได้สั่งให้ทุกคนหนีขึ้นตลิ่งก่อนแล้ว ส.อ.ห้วงได้ปีนขึ้นต้นตาตุ่มริมคลอง พร้อมเหวี่ยงระเบิดซี .๓ นัดที่ ๓ ลงไปในน้ำตรงบริเวณที่พรายน้ำวิ่งมาหยุดตรงนั้น การระเบิดครั้งที่ ๓ นี้ได้ผล เพราะแรงระเบิดตกถูกเป้าหมาย เป็นผลให้ส่วนหางของจระเข้โผล่ขึ้นก่อนลอยกระเพื่อมตามกระแสน้ำ บอกให้รู้ถึงการสิ้นอิทธิฤทธิ์ของ "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์แล้ว ทันใดนั้น ส.อ. จำนงได้ใช้ฉมวกพุ่งลงไปกลางส่วนหลังของไอ้ด่าง ซึ่งทำให้มันดิ้นพลิกขึ้นมาให้เห็นทั้งตัวแต่มันไม่สามารถจะอาละวาดต่อไป ได้อีกแล้ว เพราะกระดูกสันหลังของมันหักด้วยอำนาจของแรงระเบิดซี .๓ ชาวบ้านจึงช่วยกับเอาเชือกมัดพันธนาการตัว "ไอ้ด่าง" และลากจระเข้จอมเพชฌฆาตแห่งลำน้ำขึ้นมาบนตลิ่ง ซึ่งไอ้ด่างอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที่ จากนั้นคณะล่าจระเข้ได้ใช้เชือกลากจระเข้ยักษ์จากคลองเขาปีบมุ่งไปยังตลาด อำเภอสวี แต่ระหว่างที่ลากมาในคลองนั้น "ไอ้ด่าง" ก็พลิกท้องบอกถึงการจบชีวิตปิดฉากอันโหดเหี้ยมของมันเสียก่อน มีผู้เชื่อว่าจระเข้ที่เคยปรากฏเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วเป็นตัวเดียวกับไอ้ด่าง เกี่ยวกับประวัติความดุร้ายของ "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์กินคนละแวกคลองบางมุดและคลองเขาปีบมี นายอุดม ,นายอิน , นายเต็ก, นางรัด ,ด.ช.เลือน ทองมาก และนายช้วน พิมานเป็นศพที่ ๖ โดยจระเข้ยักษ์ที่อาละวาดตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ - ๒๕๐๐ ที่คลองเขาปีบโดยถูกกัดจนได้รับบาดเจ็บ ๕ คนคือสิบเอกห้วง พิมาน นายเฉียน พิมาน และนายสาย พวงมาลัย นายจวง และนายนิกูล เสียชีวิต ๑ รายคือนายจ๊ง

จากการวัดจากซากของไอ้ด่าง มีความยาวจากหัวถึงหาง ๔.๒๕ เมตร รอบตัว ๑.๗๕ เมตร เล็กกว่าถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร ๗ นิ้ว จากหัวถึงคอ ๒๕ นิ้ว อ้าปากกว้าง ๒๐ นิ้ว การชำแหละไอ้ด่างเพื่อทำสต๊าฟฟ์ไว้ เมื่อผ่าลงไปในท้องก็พบกระดูกในท้องไอ้ด่างมากมาย และยืนยันได้ว่ากินคนแน่ ปรากฎว่าหลังจากการผ่าชำแหละซากแล้ว ได้พบแผลเห็นได้อย่างชัดเจนในซาก "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์ดังนี้ ขาหน้าด้านขวาถูกกระสุนปืนลูกโดดฝั่งในด้านซ้ายของลำตัว เนื้อเละไปทั้งแถบ คอด้านขวาเป็นรูเน่า ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์พบจุดจบ ส่วนสันหลังบริเวณกว้างยาว ๑ ศอก ยุ่ยเป็นรอยไหม้ซี่โครงหักหลายซี่ เพราะถูกแรงระเบิดซ้ำซากหลายครั้งอย่างไม่ปราณี โดยเฉพาะเมื่อผ่าแหวะส่วนกระเพาะของจระเข้ยักษ์แล้ว ทำให้นายบุญถึง และเจ้าหน้าที่ ๑๐ กว่าคนต้องตะลึงเมื่อพบว่า นอกจากเศษอิฐ เศษหินแล้ว ยังพบหัวกระโหลกมนุษย์ถึง ๒ หัวยังอยู่ในสภาพมีเศษผมติดกับหนังศรีษะอยู่ นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนของมนุษย์ในกระเพาะจระเข้ตัวนี้อีกมีกระดูกส่วนขา กับสะบ้าจากเข่าคน กับมีตะขอเหล็กขนาดใหญ่อีก ๑ ตัว ด้วย
จากการพบส่วนกระโหลกศรีษะของมนุษย์ถึง ๒ หัวในท้องจระเข้ยักษ์ตัวนี้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าจระเข้ตัวนี้เป็น "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์แห่งคลองบางมุดแน่ สำหรับส่วนกระโหลก ๒ ชิ้นนี้ แสดงว่า "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์ได้กินคนมาแล้ว ๒ คน นอกจากการกัดกินคนอื่น ๆ ซึ่งไอ้ด่างเลือกกินเฉพาะส่วนท้องเท่านั้น จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้ต้องกินคนมาก่อนหน้านี้ ซากของ"ไอ้ด่าง"ถูกซื้อขายกันในราคา ๗,๐๐๐ บาท แล้วถูกนำไปให้คนในละแวกจังหวัดชุมพรและใกล้เคียงดู ผู้คนพากันแห่ไปดูนับหมื่นคนแม้ว่าจะมีการเก็บเงินค่าเข้าชมด้วยก็ตาม ซากของมันถูกซื้อขายต่อเปลี่ยนมือกันไปมาจนราคาพุ่งขึ้นไปถึง ๒๓,๐๐๐ บาท โดยซากไอ้ด่างถูกขายให้นายไห้ แซ่เซ็ง เป็นเจ้าของ ทำให้องค์การสวนสัตว์ชวดได้ตัวไอ้ด่างไปอย่างน่าเสียดาย และที่สำคัญที่ผู้คนไม่ค่อยจะได้รับรู้ ก็คือ ปลายจมูกที่เรียกกันว่าก้อนขี้หมาของ "ไอ้ด่าง" มีส่วนนูนโผล่ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แสดงว่า "ไอ้ด่าง" เป็นตัวเมีย ทุกวันนี้ เมื่อมีการพบจระเข้ใหญ่คราใดก็ยังมักเอ่ยเปรียบเทียบกับ " ไอ้ด่าง " ในอดีตทุกครั้งไป..
อ้างอิงจาก: นสพ.พิมพ์ไทย พ.ศ. ๒๕๐๗ www.pantip.com และ www.siamsouth.com โดย : คุณาพร. [ ๒๖/๐๒/๒๐๐๖ ]

 ..ที่สุดแห่งความใหญ่โตของจระเข้ที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสบุ๊ค ออฟ เรคคอร์ด..

หากพูดถึงความเป็นที่สุดของจระเข้ในเรื่องของความใหญ่โต ขอขั้นรายการแนะนำพระเอกที่เป็นที่สุดในเรื่องของความใหญ่โตให้เพื่อนๆ ได้ทำความรู้จักกันก่อนค่ะ พระเอกตัวนี้มีนามมังกรว่า "เจ้าใหญ่" ซึ่งเป็นจระเข้ที่ได้ขึ้นชื่อว่า ใหญ่ที่สุดในโลก และอยู่ในบ้านเราประเทศไทยนี่เองนะคะ หากอยากไปชมตัวเป็นๆ ดิ้นๆ ได้ขอเชิญที่ "ฟาร์มจระเข้สวนสัตว์สมุทรปราการ " ว่ากันว่าเป็นสถานที่เพาะพันธุ์จระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและ เป็นแห่งแรกของโลกที่มีการเพาะเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์จระเข้ ที่ทันสมัยที่สุด เมื่อพูดถึงเจ้าใหญ่แล้วขอนำภาพมาฝาก
เจ้าใหญ่ เป็นจระเข้พันธุ์ผสมระหว่างจระเข้น้ำจืดและน้ำเค็ม ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นจระเข้เลี้ยง ของ ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ โดยเจ้าใหญ่ได้ถูกบันทึกลงในกินเนสบุ๊ค ออฟ เรคคอร์ดว่าเป็น จระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2000 และเป็นวันฉลองวันเกิดปีที่ 28 ของมันด้วยไก่สด และปลา เจ้าใหญ่เป็นเจ้าของส่วน ความยาว 6 เมตร น้ำหนัก 1,114 กิโลกรัม


สุดยอด 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก ทั้ง3ยุค (ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคโบราณ)

สุดยอด 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคโบราณ 


สิ่งมหัศจรรย์ (Ancient 7 wonders, Middle 7 wonders and New 7 wonders)
ในที่สุดวันที่คนทั่วโลกรอคอยก็มีถึง เมื่อจะมีการประกาศสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ สิ่ง สอดรับกับวันที่มีเลข ตรงกันทั้งวันเดือนปี 
ตามคติความเชื่อของฝรั่งว่าเป็นวันดี โดยสำนักข่าวต่างประเทศรายงานการประกาศผลการคัดเลือก สิ่งมหัศจรรย์โลกยุคใหม่ ที่จัดขึ้น ณ สนามเบนฟิกา สเตเดียม
 ในกรุงลิสบอน นคร หลวงประเทศโปรตุเกส ซึ่งตรงกับวันที่ เดือน ปี 2007 ตามเวลาท้องถิ่น หรือช่วงเช้ามืดวันที่ ก.ค. 
ตามเวลาในประเทศไทย และมีผู้ร่วมสักขีพยานการประกาศราว50,000 คน รวมทั้งดาราภาพยนตร์และผู้มีชื่อเสียงด้านอื่นๆ 
อาทิ นีล อาร์มสตรอง อดีตนักบินอวกาศ เจนนิเฟอร์ โลเปซ นักร้องสาวชื่อดัง และนายโฆเซ โซคราเตส นายกรัฐมนตรีโปรตุเกส 
ทั้งยังมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปกว่า 170 ประเทศ คาดว่ามีผู้เฝ้าชมทั่วโลกราว 1,600 ล้านคน
สถานที่ซึ่งได้รับเลือกให้เป็น 7สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ ประกอบด้วย



7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก ยุคใหม่

 Chichén ItzáMexico
1. เมืองโบราณซีเชน อิตซา ของชนเผ่ามายา ในเขตยูคาทาน เม็กซิโก
ชิเชน อิตซา ตั้งอยู่ที่คาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก เป็นเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของเผ่ามายา ตัววิหารที่สร้างถวายแด่เทพเจ้าของชนเผ่ามายา
สร้างอยู่บนเนื้อที่กว่า 6.4 ตรารางกิโลเมตร มีลักษณะเป็นปีระมิดเป็นชั้นลดหลั่นลงมา และมีบันไดอยู่ตรงกลาง บนยอดเป็นแท่นบูชา
สำหรับทำพิธีกรรมสังเวยแด่เทพเจ้าชนเผ่ามายาได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่มีความป่าเถื่อนในการบูชายันมนุษย์ แต่ก็ได้ชื่อว่ามีความเจริญทางภาษา
 และความรู้ทางคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ โดยมีการสร้างปฏิทินมายาขึ้นโดยกำหนดให้ 1 ปี มี 18 เดือนและแต่ละเดือนมี 20 วัน 
ดังนั้น 1 ปีของชาวมายาจึงมี 360 วันและมีการเพิ่มวันที่ไม่ขึ้นกับเดือนใดเข้าไปอีก 5 วัน แม้จะมีความรู้ถึงเพียงนี้แต่พวกนี้กลับไม่ค้นพบการประดิษฐ์ล้อแต่อย่างใด



Christ Redeemer, Brazil
2. รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือคริสต์ รีดีมเมอร์ บนยอดเขาในนครริโอ เดอ จาเนโร ของบราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่บนยอดเขาโคคาวาดู ( Cocarvado ) กรุงริโอ เดอ จาเนโร ( Rio de Janero ) ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร สร้างในปีค.ศ. 1921
ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดา ซิลวา กอสตา( Heitor da Silva Costa ) ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี ( Paul Landowski ) 
ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม 1926 
ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังฐานของรูปปั้นเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองริโอ เดอ จาเนโรได้



The Great WallChina 
3.กำแพงเมืองจีน (ติดโผครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)
กำแพงเมืองจีน หรือ กำแพงหมื่นลี้ สร้างในสมัยของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก และได้มีการสร้างกำแพงต่ออีก 4 ครั้งใหญ่ๆโดยส่วนใหญ่ถูกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง แต่ก็ถูเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียบุกข้ามกำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ 
กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างพรมแดนจีนกับธิเบต มีความสูงจากพื้นดิน 20 - 30 ฟุต กว้าง 15 - 20 ฟุต ยาวประมาณ 2,400 กิโลเมตร 
กำแพงก่อด้วยดิน หินและอิฐ โดยทุกๆ 200 เมตรจะมีหอตรวจการอยู่ และมีระฆังแขวนอยู่ทุกหอรวมไม่ตำกว่า 20,000 หอ 
ระหว่างการก่อสร้างมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคนและศพของผู้เสียชีวิตก็ถูกผังอยู่ในกำแพงนั่นเอง กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างสิ่งเดียวของมนุษย์
ที่สามารถมองเห็นได้จากดวงจันทร์ ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนส่วนที่เหลืออยู่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสิ้น 
กำแพงเมืองจีนถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย
Machu PicchuPeru
4. เมืองโบราณมาชูปิกชู ของชนเผ่าอินคา ในเปรู
มาชู พิคชู หรือนครสาบสูญแห่งอินคา ( The Lost City of the Incas ) เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนภูเขาในประเทศเปรู 
อยู่สูงจากระดับนำทะเลถึง 2,350 เมตร มาชู พิคชูสร้างโดยจักรวรรดิ์อินคา และถูกทิ้งร่างเมื่ออินคาพ่ายแพ้แก่ชาวสเปน 
จนกระทั่งถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอเมริกันชื่อ ฮิราม บิงแฮม ( Hiram Bingham ) ในปีค.ศ. 1911


PetraJordan
5. เมืองโบราณเพตรา ในจอร์แดน
นครเพตรา เป็นนครที่แกะสลักลงบนหุบเขาใกล้ทะเลสาบเดดซี( Dead sea ) และอ่าวอัคบา ( Gulf of Aqaba ) เมืองเพตราถูกสร้างโดยชาวบานาเทียน ( Nabataeans ) 
ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกลางทะเลทรายอาหรับ ซึ่งได้สกัดหน้าผาหินทรายให้เป็นบ้านเรือนสำหรับพักอาศัย และได้เปลี่ยนจากอาชีพเลี้ยงแกะมาเป็นพ่อค้า
และรับคุ้มครองกองคาราวาน ทำให้เพตราเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่มีพ่อค้าชาวกรีกได้อธิบายถึงความมั่งคั่งของเพตราว่าเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของชาวอาหรับ 
เปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสตศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 ( Aretas IV ) 
ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องว่า ฟิโลเดมอส ( Philodemos ) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน เพตราเริ่มเสียอำนาจเมื่อมีเส้นทางการค้าที่สะดวกและปลอดภัยกว่าเกิดขึ้น 
จนกระทั่งปีค.ศ. 106 เพตราถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรโรมัน จนคริสตศตวรรษที่ 5 เพตรากลายเป็นที่ตั้งของมณฑลของบิชอบ 
และถูกมุสลิมยึดครองในครสตศตวรรษที่ 7 และค่อยๆเสื่อมลงจนหายไปจากประวัติศาสตร์ จนกระทั่งถูกค้นพบโดย 
นักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โจฮันน์ ลุควิก เบิร์กฮาร์ท ( Johann Ludwig Burckhardt ) ในปีค.ศ. 1812 เพตราจึงได้ปรากฏโฉมต่อชาวโลกอีกครั้ง


The Roman Colloseum, Italy (ติดโผครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)
6. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี
โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ในกรุงโรม สร้างในสมัยจักรพรรดิ์เวสปาเชียน ( Emperor Vespasian ) 
แห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไตตัส ( Titus ) ในคริสตศตวรรษที่ 1 โคลอสเซียมมีลักษณะเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมก่อด้วยหินทรายและอิฐวัดโดยรอบประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร จุคนได้ประมาณ 80,000 คน 
มีห้องสำหรับขังทาส นักโทษ และสัตว์ดุร้าย เช่น สิงโต เสือ โดยจะให้ทาสสู้กันเองจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว
จึงจะได้รับอิสระภาพ หรือ ให้นักโทษสู้กับสิงโตที่หิวโซเนื่องจากถูกจับอดอาหาร ในแต่ละปีมีนักโทษและทาสตายไม่ต่ำกว่า 100 คน 
โคลอสเซียมถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย


The Taj MahalIndia
7. ทัชมาฮาล ในเมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาล สร้างโดยจักรพรรดิ์ชาห์ เจฮัน ( Emperor Shah Jahan ) เพื่อเป็นอนุสรณืแห่งความรักแด่พระมเหสีมุมทัช มาฮาล ( Mumtaz Mahal ) 
ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างสร้างระหว่าง ค.ศ.1630-1648 ณ สวนริมผั่งแม่นำยมนา เมืองอัครา ออกแบบโดยอุสตาด ไอสา (Ustad lsa)
สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลืองจากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์ เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดด ปะการัง 
และ หอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียระไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์ 
ทัชมาฮาลได้รับการรับรองจากสถาปิกทั่วโลกว่าสร้างได้ถูกสัดส่วน และงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร 
มีหอสูงมีโดมอยู่บนรอบทั้ง 4 มุม ภายใต้โดมใหญ่มีโลงหินอ่อนประดับด้วยอัญมณีมากมายบรรจุอยู่ แต่โลงพระศพจริงๆอยู่ในอุโมงค์ข้างใต้โลงหินนั้น
 เดิมชาห์ เจฮันตั้งพระทัยจะสร้างสุสานสำหรับพระองค์เองที่อีกฝั่งของแม่น้ำยมนา โดยสร้างให้เหมือนกับทัชมาฮาลแต่สร้างด้วยหินอ่อนสีดำ 
แต่ถูกพระโอรสจับพระองค์ขังอยู่ 7 ปีจึงสิ้นพระชนม์ และพระศพของพรองค์ถูกฝังอยู่เคียงข้างมิ่งมเหสีสุดที่รักนั่นเอง 
ส่วนอุสตาด ไอสาสถาปนิกผู้ออกแบบก็ถูกชาห์ เจฮันสั่งประหารเนื่องจากไม่ต้องการให้ออกแบบสถาปัตยกรรมใดๆที่สวยกว่าทัชมาฮาลได้


ทั้งนี้ สถานที่ทั้ง แห่งได้รับการคัดเลือกจากประชาชนทั่วโลกร่วม 100 ล้านคน 
เป็นผู้ร่วมโหวตในอินเตอร์เน็ต ผ่านทางเว็บไซต์www.new7wonders.com และผ่านระบบข้อความสั้น หรือเอสเอ็มเอสของโทรศัพท์ มือถือ อย่างไรก็ดี 
ฝ่ายผู้จัดยอมรับว่าไม่ได้หาวิธีป้องกันการโหวตสนับสนุนสถานที่ที่ชื่นชอบมากกว่าหนึ่งครั้งของประชาชนไว้รองรับ และอ้างว่ามีผู้ร่วมโหวตจากทุกประเทศในโลก
กลุ่มสถานที่สำคัญที่ติดรายชื่อรอบสุดท้าย แต่ ไม่ได้รับเลือก
 มีอาทิ ปราสาทหินนครวัดในกัมพูชา หอไอเฟล ในฝรั่งเศส สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ และวัดคิโยมิสึ วัดเก่าแก่ในญี่ปุ่น เป็นต้น




สำหรับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง 

7 Wonders of the Middle World
Mosque of Hagia Sophia (Istanbul)
1. สุเหร่าเซนต์โซเฟีย เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี
สถานที่ตั้ง เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
สุเหร่าเซนต์โซเฟีย(Saint Sophia) หรือ โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ในอดีตเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ 
พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ 
แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้งเพราะเกิดการขัดแย้งระหว่าง พวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม
จนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียน มีอำนาจเหนือตุรกี จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ 1435) 
พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดได้พยายามหา สิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับไว้มากมาย สร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่าง มโหฬาร 
ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่ทำให้แตกร้าวต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยในสภาพเดิม
เมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสตินเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และเป็นผู้นับถือศาสนา อิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม 
แต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิม
สุเหร่าเซนต์โซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตร และ ประดับไว้งดงาม 108 ต้น (ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้น ชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น) 
มียอดเป็นโดม คล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลม ๆ มากมาย เนื่องจากศิลปะแบบคริสเตียน ผสมกับอิสลามนี้เองทำให้มีความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์

The Roman Colloseum, Italy
2. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี
สถานที่ตั้ง กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

สนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ที่ ใหญ่โตของอาณาจักร โรมันสมัยโบราณสร้างขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80) ตัวสนามสร้างมีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป
หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย
ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก ปี ๆ หนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลง ก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน
ในปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม



The Great WallChina
3. กำแพงเมืองจีน
สถานที่ตั้ง ประเทศจีน
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
กำแพงเมืองจีน หรือกำแพงอิฐยักษ์ เป็นกำแพงกั้นเมือง และกั้นประเทศทั้งประเทศ ตามพรมแดนด้านเหนือของจีน เป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมา หาที่ใดในโลกมาเปรียบ ไม่ได้อีกแล้ว 
มีขนาดกว้างตั้งแต่ 4.5 เมตร ถึง 7.5 เมตร(10 ฟุต) ซึ่งทหารม้าเข้าแถวเรียง 8 ได้อย่างสบาย ๆ มีความสูง จากพื้นด้านล่างตั้งแต่ 8 เมตร ถึง 9 เมตร(20-30 ฟุต หนา15-25 ฟุต) 
สูงพอที่จะไม่สามารถ ปีนข้ามไปได้ง่าย ๆ เดิมเชื่อว่ามีความยาว 2,550 ไมล์ ( 2,400 กิโลเมตร) บนกำแพงทุก ๆ ระยะ 200 เมตร(300 ฟุต) 
จะมีหอหรือป้อม สำหรับตรวจเหตุการณ์ มีป้อมมากกว่า 15,000 แห่ง สร้างสูงขึ้นไปอีก 3 เมตร ถึง 6 เมตร และมีระฆังแขวน เพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุ ไว้ประจำทุกหอ 
รวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 20,000 หอ เริ่มสร้างระหว่างปี พ.ศ. 300-329 (243-252ปีก่อนคริสตกาล)

 ในสมัยพระเจ้าซี่วังตี่ ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปี และมีการสร้างต่อเติมอีกหลายกครั้ง ใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎรทั้งประเทศ นับจำนวนล้าน มีผู้เสียชีวิตนับพันนับหมื่น
เป็นสิ่งก่อสร้าง ชนิดเดียวในโลก ที่สามารถมองเห็น เมื่อมองจากดวงจันทร์ ในสมัยนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่ป้องกันข้าศึกได้อย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันไม่มีความหมายในด้านป้องกันประเทศอีกแล้ว
 คงมีค่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก
Porcelian Tower of Nanking
4. เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง ประเทศจีน
สถานที่ตั้ง เมืองนานกิง ประเทศจีน
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง เป็นสิ่งก่อสร้างเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น สูง 261 ฟุต หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก และโคมไฟประดับอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคา ยอดเจดีย์เป็นรูปกลมปิดทอง องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งหมด 
เดิมทีพุทธศาสนิกชนชาวจีนเป็นผู้สร้างไว้เพียง 3 ชั้น
ใน ค.ศ. 1430 จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ แห่งราชวงศ์เหม็งได้โปรดให้จัดสร้างเสริมขึ้นไปอีกจนสูง 9 ชั้น มีสายโซ่โยงลงมา 8 เส้น 
มีกระดิ่งแขวนตามสายโซ่ 72 ลูก เวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมาก เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกคุณบิดา มารดา จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ได้บรรจุเครื่องบูชาที่ทำ 
ด้วยของมีค่า พวกเงิน ทองคำ และอัญมณีอื่นๆ จำนวนมาก กล่าวกันว่า บนยอดเจดีย์มีลูกบอลปิดทอง มีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง 9 วง
 มีไข่มุก 
ขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลายเป็นเครื่องลางบอกความมีโชคชัย ของกรุงนานกิง

เจดีย์นี้เคยถูกฟ้าผ่า และถูกพวกกบฎไต้เผ็ง ทำลายเมื่อปี พ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853) เสียหายมาก ต้องมีการซ่อมแซมเพื่อให้ส่วนที่เหลืออยู่
ได้อวดความงามอันน่ามหัศจรรย์ต่อไป ส่วนของมีค่าภายในนั้นถูกปล้นสะดมสูญหายไปหมดแล้ว 
ถึงกระนั้นก็ยังได้ชื่อว่า เป็นเจดีย์ที่ทำด้วยกระเบื้องเคลือบ วิจิตรงดงามมีค่าสูงยิ่ง


 Stonehenge
5. สโตนเฮนจ์ เมือง ซัลลิสเบอรี่ ประเทศอังกฤษ
สถานที่ตั้ง เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
กองหินประหลาดนี้อยู่กลางทุ่งนาแห่งเมืองซัลลิสเบอรี ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ประกอบด้วยแนวหินขนาดมหึมาหินเรียงรายราว ๆ 3 กิโลเมตร 
และ มีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 112 ก้อน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนา เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน
วงกลมรอบนอก มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูง 13 ฟุต วงกลมรอบกลาง มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มีสองก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต 

วงในสุด มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ล้มบ้างตั้งสูงบ้าง หินแต่ละก้อนหนักเป็นตันๆ เฉลี่ยแล้วสูง 4 เมตร หนัก 26 ตัน
มีผู้สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในที่นั้นมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง 1,700 ปี เป็นสิ่งก่อสร้างที่โดยไม่มีร่องรอยของความเป็นมา 
ไม่มีใครทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง, สร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ที่น่าแปลกก็คือ ในริเวณนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาและสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่นๆ อีกเลย 

จึงทำให้สงสัยว่าผู้ก่อสร้างนำหินเหล่านั้นมาจากไหน และไม่ปรากฏว่ามีการขน หรือสิ่งปรักหักพังในการก่อสร้าง บริเวณที่ดังกล่าว 
ใช้อะไรยกหินก้อน ที่หนักๆ หลาย ๆ ตันขึ้นวางซ้อนกันได้ ซึ่งอยู่สูงถึง 13 ฟุต นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่ท้าทายความอยากรู้ของมนุษย์ยุคปัจจุบันยิ่งนัก



Catacombs of Alexandria Egypt
6. สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย (คาตาโคมป์) เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
สถานที่ตั้ง เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย เป็นอุโมงค์ที่เก็บศพ และทรัพย์สมบัติของกษัตริย์อียิปต์โบราณ อุโมงค์ฝังศพนี้ มีชื่อเรียกว่า คาตาโคมบ์ (Catacombs) เป็นอุโมงค์ที่สร้างด้วย หินก้อนใหญ่ ๆ และ ขุดลึกลงไปเป็นชั้นๆ บางตอนลึกถึง 21 ถึง 24 เมตร (70-80 ฟุต) มีทางเดินกว้างถึง 1.2 เมตร (3-4 ฟุต) 
วกไปเวียนมา เป็นระยะทางหลาย ๆ กิโลเมตร ตามริมผนังของอุโมงค์เป็นช่อง ๆ ไว้ สำหรับเป็นที่ บรรจุศพ มีแท่นบูชาอยู่หน้าช่องบรรจุศพเหล่านั้น พร้อมตะเกียงดวงเล็กๆ แขวนไว้ บางส่วนของอุโมงค์ตกแต่งทั่ว ๆ ไปไว้อย่างวิจิตรงดงาม ปัจจุบันยังคงมีสภาพสมบูรณ์

Leaning Tower of Pisa
7. หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี
สถานที่ตั้ง เมืองปิซา ประเทศอิตาลี
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

หอเอนแห่งเมืองปิซา เป็นหอคอยหินอ่อนที่พิศดาร สูง 54 เมตร ( 181 ฟุต) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ. 1717 (ค.ศ. 1174) ไปเสร็จในปี พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) ใช้เวานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังทลายลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ ยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร( 14 ฟุต) และหอเอนนี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของเทห์วัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง



สำหรับ สิ่งมหัศจรรย์โลกยุคโบราณนั้น ถูกรวบรวมโดยกลุ่มนักปราชญ์ ชาวกรีก แต่เอกสารสูญหาย 
ต่อมา แอนติเปเตอร์ แห่งไซดอน นักเขียนชาวกรีกโบราณ ได้รวบรวมเอกสารใหม่หลงเหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบันเพียงแห่งเดียว
 คือ พีระมิดแห่งกีซาในอียิปต์ นอกนั้นถูกทำลายด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์



7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก ยุคโบราณ

1. The Great Pyramid of Giza
ตำแหน่งที่ตั้ง
ประเทศอียิปต์ตั้งอยู่ห่างจากกรุงไคโรเมืองหลวงของอียิปต์ปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ 2-3 กิโลเมตร กลางทะเลทราย ทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์
ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้

มหาพีระมิดของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ห่างไปทางตอนใต้ของ เมืองอะเล็กซานเดรีย ประมาณ 160 กิโลเมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 12 เอเคอร์ และมีอายุตั้งแต่สมัย 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น
ซึ่งพีระมิดของกษัตริย์คูฟู สูงถึง 147 เมตรฐานกว้างด้านละ 230 เมตร ใช้หินก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน รวมใช้ก้อนหิน 2,300,000 ก้อน รวมน้ำหนักกว่า 6,000,000 ตัน มีการเตรียมการสร้างถึง 10 ปี ใช้แรงงานถึง 100,000 คน มาใช้แรงงานถึง 20 ปี เพื่อสร้างพีระมิด ดังกล่าวให้จนลุล่วง
จุดมุ่งหมาย ของสิ่งก่อสร้างนี้ ในเบื้องแรกก็เพื่อบรรจุพระศพของกษัตริย์อียิปต์พระนามคีออปส์
หรือ คูฟู ปัจจุบันส่วนยอดของพีระมิด ทรุดโทรมลง จนมีความสูงเพียง 137 เมตร

พีระมิดแห่งเมืองกิซามี 3 องค์คือ พีระมิดซีเฟรน พีระมิดไมเซอนิรุส แลพีิระมิดคีออปส์ 
ซึ่งพีิระมิดคีออปส์เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด
2. The Hanging Gardens of Babylon

 ตำแหน่งที่ตั้งกลางทะเลทราย เมืองแบกแดด ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรัก
ปัจจุบัน ทั้งสวนและผนังดังกล่าวทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือซากแล้ว
รายละเอียด
สวนลอย หรือ สวนสวรรค์แห่งเมืองบาบิโลนนี้ กินเนื้อที่ 4 เอเคอร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 63 โดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย หลังจากการพิชิตปราบปรามเมืองใกล้เคียงมาอยู่ในอำนาจ แล้วก็กวาดต้อนประชาชนพลเมืองมาใช้เป็นทาสให้สร้างสวนสวรรค์นี้ขึ้นบนทะเลทราย มีกำแพงดินกั้นล้อมรอบและประกอบด้วยลานกว้างๆ เป็น หลาย ๆ ส่วนบนพื้นที่โค้ง
มีความสูงมากและปลูกต้นไม้ ดอกไม้สีสันสดใสสร้างสระน้ำสีต่างๆ ทำน้ำตก น้ำพุ โดยทำท่อทดเอาน้ำมาจากแม่น้ำยูเฟตีส สวนแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประพาส หย่อนพระทัยของพระมเหสี เซมีรามีส
 3. The Statue of Zeus at Olympia
ตำแหน่งที่ตั้ง
เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ
ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

ซุส สร้างขึ้นในปี ค.ศ.53-111 ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า จูปีเตอร์ เป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวกรีกโบราณนับถือมากและเคารพสักการะบูชามาก เทวรูปซีอุสแกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากประกอบกันขึ้นมีขนาดสูง 58 ฟุต เป็นรูปเทพเจ้านั่งบนบัลลังก์สีทอง พระหัตถ์ซ้ายทรงคธา 
พระหัตถ์ขวารองรับรูปปั้นแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับด้วยทองคำล้วน
อาจพังทลายเพราะ แผ่นดินไหว ในศตวรรษที่ 6 แห่งคริสตกาล ต่อมาถูกขนย้ายไปยัง กรุงคอนสแตนติโนเปิล และสุดท้ายถูกไฟไหม้เสียาย

        ชาวโรมันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จูปีเตอร์ ชาวกรีกได้เรียกเทวรูปนี้ว่า ซุส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นผู้นำแห่งเทพเจ้า 
ชาวกรีกนับถื่อมากที่สุดในยุคนั้น ใครจะออกเดินทางไปเมืองใดต้องมาพรจากพระองค์เสียก่อน
        แต่บัดนี้ไม่มีหลักฐานให็เป็นที่ชมได้เพราะได้ถูกไฟเผาไหม้หมดทั้งองค์ในปี ค.ศ. 476 คงเห็นภาพในเหรียญ ตราโบราณ 
และจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ นิยายปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์ ยังคงเป็นที่ยกย่องเล่าลือมาจนถึงปัจจุบันนี้ 
4. The temple of Artemis at Ephesus
ตำแหน่งที่ตั้งเมืองเอเฟซุส ประเทศกรีซ
ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลืออยู่บ้าง
ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่ได้บูรณะซ่อมแซมในปี ค.ศ.186 เพราะถูกไฟไหม้ มหาวิหารเดียนา มีเนื้อที่กว้าง 54,720 ตารางฟุต ตัววิหารกว้าง 160 ฟุต ยาว 342 ฟุต มีเสาหินอ่อนด้านละ 20 ต้น ด้านหน้าด้านหลัง 8 ต้น แต่ละต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 ฟุต สูง 60 ฟุต หลังคามุงกระเบื้องหินอ่อน เป็นวิหารที่สวยที่สุดในสมัยนั้น 
มหาวิหารเดียนา สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมิส ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ ได้ช่วยกู้ความหายนะของเมืองไว้ ได้ถึง 2 ครั้ง
ถูกทำลายโดยพวกโกธ จากเยอรมัน ที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อ ค.ศ. 262


5. The Mausoleum of Maussollos at Halicarnassus
ตำแหน่งที่ตั้ง เมืองฮาลคาร์นาซซัส ประเทศตุรกี



ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลือ

สุสานของกษัตริย์โมโซรุสหรือที่เก็บศพโมโซรุสเป็นสถานที่เก็บ หรือ
ฝังศพของพระเจ้าโมโซรุส กษัตริย์แห่ง เอเชียไมเนอร์ ปัจจบันคือ เปอร์เซีย
ซึ่งพระนางอาเตมีเซีย ราชินีได้ขึ้นครองราชย์ ต่อจากพระราชสวามีได้เป็นผู้สร้างขึ้น ที่เมืองซาเรีย (ปัจจุบันคือ เมืองฮาลคาร์นาซซัส )

โดยใช้ช่างออกแบบ ฟิดิอัส ซาติรัสบรายอาซีส สโคปาส ทิโมทิอัส ที่มีชื่อเสียง ฝีมือเยี่ยมในกรีซ
ทั้งหมดมาช่วยกันสร้างด้วยหินอ่อน แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จพระนางก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล

มีความสูง 43 เมตร บนยอดมีรูปปั้นโมโซรุส ประทับบนราชรถเทียมด้วยม้าทั้งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บศพพระราชสวามีของ
พระนางแต่เพียงอย่างเดียวซึ่งนับว่าเป็นสุสานที่ใหญ่โตพิศดาร และสูงที่สุดในโลกอาจจะทรุดพังเพราะแผ่นดินไหว

 6. The Colossus of Rhodes

ตำแหน่งที่ตั้งเกาะโรดส์ ประเทศกรีซ
ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
เทวรูปโคโลสซูส เป็นเทพเจ้าที่ชาวกรีกเคารพนับถือมาก ซึ่งกษัตริย์ชาเรสแห่งลินดัส สร้างขึ้นเมื่อ 280 ปี ก่อนคริสต์กาล
 เทวรูปนี้หล่อด้วยทองสำริดในท่ายืนสูง 100 ฟุต มือขวาถือประทีป เทวรูปตั้งอยู่บนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าว 
องค์เทวรูปยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้ เทวรูปโคโลสซูส หรือเทพเจ้าอพอลโป ประดิษฐานอยู่บนเกาะโรดส์ ประเทศกรีซ
 และเมื่อ 224 ปี ก่อนคริสต์กาล เกิดแผ่นดินไหว เทวรูปจึงพลังลงมา ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ 
จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซากทองเหลืองที่เหลืออยู่จึงถูกขายให้แก่ชาวเมือง ซาราเชนส์ ไปทำอาวุธในการทำสงครามจนหมด
 ปัจจุบันสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นนี้ได้สูญสลายไปหมดแล้ว
 7. The Lighthouse of Alexandria
ตำแหน่งที่ตั้ง
เกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
กระโจมไฟฟาโรส หรือ ประภาคารฟาโรส อันยิ่งใหญ่นี้ พระเจ้าปโตเลมีฟิลาเดลฟัส กษัตริย์แห่งประเทศอียิปต์ 
เป็นผู้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสลักลวดลายวิจิตรงดงาม อยู่บนเกาะฟาโรส ที่อ่าวหน้าเมืองอเล็กซานเดรีย ประมาณ 271 ปีก่อนคริสตกาล 
สร้างขึ้นเพื่อ เป็นสัญลักษณ์ที่สังเกตเห็นแก่หมู่เรือทั้งหลาย ที่ไปมาติดต่อค้าขาย
ในการเข้าไปยังเมืองท่า ซึ่งครั้งนั้นอียิปต์ เป็นประเทศที่เจริญในวิทยาการต่างๆ
ใครๆ ก็ชอบติดต่อเหตุนี้จึงต้องสร้างประภาคารขึ้นจุดตะเกียงแก๊สตลอดทั้งคืน
เพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยเดินเรือใช้เป็นที่สังเกตจะได้ไม่หลงและนอกจากนั้นแล้ว
ยังใช้เป็นหอคอยไว้ดูข้าศึกที่จะมารุกรานอีกด้วยเพราะกระโจมนี้สูงถึง 180 เมตร
หลังจากเกิดแผ่นดินไหว อาคารนี้ก็พังทลายลงมาตั้งแต่ ค.ศ. 955
และถูกทำลายโดยสมบูรณ์ในช่วงศตวรรษที่ 14
ที่มา http://members.tripod.com/com_sk/age1.htm
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=skypream&month=03-2009&date=07&group=6&gblog=39
http://m.exteen.com/blog/clver4leaf/read/1246530